อาหารตามสั่ง แจก 16 เมนูอาหารจานเดียว เมนูสร้างอาชีพ

16 มิ.ย. 2564 16:22:56
อาหารตามสั่ง แจก 16 เมนูอาหารจานเดียว เมนูสร้างอาชีพ

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หากเอ่ยถึงเมนูสร้างอาชีพ คงไม่มีอะไรที่ทำง่าย..ขายดี เหมือนกับ 'อาหารตามสั่ง' อย่างแน่นอน!


อาหารตามสั่งที่หลายคนบอกว่า เป็นเมนูสิ้นคิด.. แต่ก็พิชิตความหิวได้ทุกมื้อ เป็นอาหารจานเดียว..จานด่วน ที่เราทุกคนสั่งกินทุกวันได้ไม่มีเบื่อ เพราะไม่ได้มีแค่เมนูเดียวเท่านั้น แต่อาหารตามสั่งนั้นจะหมุนเวียนเปลี่ยนไป ซึ่งมีให้เลือกครอบคลุมทั้งเมนูต้ม ผัด แกง ทอด และสามารถนำวัตถุดิบมาพลิกแพลงปรับเปลี่ยนสูตรได้ไม่รู้จบ ตามแต่กุ๊ก, เชฟ, เจ้าของร้าน หรือคนปรุงจะรังสรรค์แต่ละเมนู

เพราะฉะนั้น วันนี้เราจึงได้รวมสูตรอาหารตามสั่งยอดฮิต ที่หลายคนสั่งเลยไม่ต้องคิด โดยเฉพาะกลุ่มคนวัยทำงาน ที่เน้นความสะดวกรวดเร็วในการบริโภค แต่ก็ต้องการสัมผัสรสชาติความอร่อย และราคาไม่แพงด้วยเช่นกัน

ส่วนจะมีเมนูอาหารตามสั่งยอดฮิตอะไรบ้าง ที่น่าทำกินอิ่มอร่อย ทำง่าย ๆ ได้ที่บ้าน และเหมาะแก่การเปิดร้านทำขาย หรือสามารถขายออนไลน์ จัดเสิร์ฟใส่กล่อง จัดส่ง Delivery สร้างเงิน.. สร้างงาน.. สร้างอาชีพในช่วงหยุดอยู่บ้านแบบนี้ ชวนเพื่อน ๆ ไปติดตามกันได้เลย

ข้าวผัดกะเพรา

1. ข้าวผัดกะเพรา

ทำกินง่ายสไตล์ประหยัด... จัดเป็นเมนูขายก็รวยๆๆ ด้วยสูตรข้าวผัดกะเพรา ที่ใคร ๆ ก็ลงมือผัดเองได้ แค่มีอุปกรณ์และวัตถุดิบไม่กี่อย่าง!!! ดังนั้นสูตรกะเพรา หรือข้าวผัดกะเพรา อาหารตามสั่งประจำวันนี้จึงมีวิธีการทำในแบบง่าย ๆ ที่เชื่อว่าใครจะทำกินที่บ้านก็สบาย หรือจะเอาไปทำขายก็รวยๆๆ ในแบบที่ไม่ยาก เพียงแค่เตรียมอุปกรณ์ และวัตถุดิบตามนี้

วัตถุดิบและเครื่องปรุง
(สำหรับเป็นกับข้าว 1 จาน รับประทาน 2 คน)
  • กระทะ/ตะหลิว/เตาแก๊สหรือเตาไฟฟ้า
  • เนื้อสัตว์ตามชอบ (หมึก/หมู/เนื้อ/ปลา/ไก่/กุ้ง) 200 กรัม
  • กระเทียมจีน 3-4 กลีบ
  • พริกจินดาแดง 4 เม็ด
  • น้ำมันพืชสำหรับผัด 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสหอยนางรม 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
  • ใบกะเพรา 15-20 ใบ
  • น้ำสต็อก 3 ช้อนโต๊ะ
*ใครที่ชอบซอบซีอิ๊วดำจะใส่เล็กน้อยเพื่อเพิ่มสี กลิ่น และรสชาติ ก็สามารถทำได้ ไม่ได้มีกฎตายตัว

วิธีทำ
  1. ตั้งกระทะ พร้อมเทน้ำมันพืชลงไป กระทะเริ่มร้อน ใส่กระเทียมและพริกตำ ผัดเร็ว ๆ จนได้กลิ่นหอม (ระวังอย่าให้ไฟแรงจนกระเทียมไหม้)
  2. ตามด้วยเนื้อสัตว์ผัดพอสุก ปรุงรสด้วยซอสหอยนางรม น้ำปลา และน้ำตาลทราย ผัดให้ทุกอย่างเข้ากัน
  3. จากนั้นเติมน้ำสต็อกลงไปให้พอขลุกขลิก แล้วใส่ใบกะเพราลงไปผัดพอให้ใบกะเพราสะดุ้งไฟเล็กน้อย เพื่อให้กลิ่นของน้ำมันระเหยหอมในใบกะเพราออก ก็ปิดไฟตักเสิร์ฟได้เลย
 ข้าวผัดหมู

2. ข้าวผัดหมู

ซึ่งสูตรข้าวผัดหมูที่นำมาฝากทุกท่านในวันนี้ก็คือ ข้าวผัดหมูสูตรโบราณ ข้าวผัดหมูตามสั่ง ที่ผสมผสานรสชาติและความหลากหลาย ด้วยการใส่ผักสดนานาชนิด ที่มีในร้านลงไป เพื่อให้ข้าวผัดมีสีสันสวยงาม ไม่ต้องเอาข้าวค้างคืนมาทำ เพราะข้าวไม่จำเป็นต้องเรียงเม็ดหรือแห้งจนเกินไปเหมือนสไตล์ข้าวผัดจีน แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าวผัดหมูนั้นแทบจะไม่แตกต่างกันเลย ก็คือการใช้ไฟแรงในการผัด เพื่อให้ข้าวออกมามีกลิ่นหอมของกระทะนั่นเอง
 
  • ข้าวสวย 200 กรัม
  • เนื้อหมูตามชอบ 50-80 กรัม
  • น้ำมันพืชสำหรับผัด 1 ช้อนโต๊ะ
  • กระเทียมสับ 1 กลีบ
  • มะเขือเทศครึ่งลูก
  • หอมใหญ่ 1/4 หัว
  • ผักคะน้า 1-2 ต้นเล็ก
  • ผักชี หรือต้นหอมซอย (สำหรับตกแต่ง)
  • น้ำปลา 1 ช้อนชา
  • ซอสปรุงรส 2 ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย 1/4 ช้อนชา
  • น้ำมันหอย 1 ช้อนชา
  • ซีอิ๊วดำเล็กน้อย (เพื่อแต่งสี เพิ่มสี และเพิ่มความหอมให้กับข้าวผัดมากขึ้น)
  • พริกน้ำปลา (กระเทียมจีนซอยตามยาว 2 กลีบ, น้ำมะนาว 3 ช้อนชา, น้ำปลา 2 ช้อนชา, พริกขี้หนูซอย 3-4 เม็ด)
  • แตงกวา 1 ลูก (สำหรับเคียงเพื่อตัดเลี่ยน)
  • ไข่ไก่ 1 ฟอง

วิธีทำ
  1. เริ่มจากตั้งกระทะใส่น้ำมัน และกระเทียมสับลงผัด ใส่หมูลงไปผัดจนเริ่มสุก ใส่ไข่ตามลงไปแล้วขยี้ให้ไข่แตกทั่ว ๆ ผัดต่อจนไข่เริ่มสุก
  2. ใส่ข้าวลงไป ผัดต่อให้เข้ากัน แล้วจึงปรุงรสด้วย น้ำปลา ซอสปรุงรส น้ำตาลทราย
  3. ผัดจนเข้ากัน เร่งไฟให้แรง แล้วจึงใส่ผักคะน้า หอมใหญ่ และมะเขือเทศ ผัดจนกระทั่งผักใกล้สุก ใส่น้ำมันหอย และซีอิ๊วดำ ผัดเร็ว ๆ แล้วปิดไฟตักลงจานเสิร์ฟ
  4. ตกแต่งด้วยผักโรย หากใครชอบพริกไทย จะโรยพริกไทยป่นเล็กน้อยก็สามารถทำได้ เสิร์ฟคู่กับผักเคียงอย่างแตงกวา และพริกน้ำปลา

ข้าวราดคะน้าหมูกรอบ

3. ข้าวราดคะน้าหมูกรอบ

แม้จะเป็นเมนูอาหารตามสั่งที่ดูแคลอรี่สูง อาจไม่ค่อยเหมาะกับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักสักเท่าไหร่ แต่เชื่อว่าสำหรับร้านค้าแล้ว เมนูข้าวราดคะน้าหมูกรอบจะต้องเป็นเมนูฮิต ขายดีติดอันดับต้น ๆ และตราตรึงใจผู้บริโภคตลอดกาลแน่นอน หากว่าร้านนั้นสามารถทำหมูกรอบออกมาอร่อย และผัดคะน้าออกมาได้สุกกำลังดี และไม่เหม็นเขียว

สูตรหมูกรอบ (สูตรตากแดดแบบโบราณ)
วัตถุดิบสำหรับทำหมูกรอบ
  • หมูสามชั้น 1.5 กิโลกรัม
  • เกลือ 4 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำเปล่า 2.5 ลิตร
  • น้ำมันปาล์ม (สำหรับทอด) 500 ml. (หรือจะใช้หม้อทอดไร้น้ำมันก็สามารถทำได้)

วิธีทำหมูกรอบ
  1. ตั้งน้ำใส่เกลือ และรอจนน้ำเดือด จากนั้นนำหมูลงต้ม วางด้านที่เป็นหนังลงก้นหม้อ ต้มประมาณ 40-45 นาที
  2. เมื่อครบเวลาและหนังหมูเริ่มนุ่ม นำหมูขึ้นพักพออุ่น ใช้ส้อมจิ้มด้านที่เป็นหนังจนทั่ว
  3. จากนั้นนำหมูวางบนตะแกรงตากแดดจนหนังหมูพอตึง และเริ่มแห้ง ด้านละครึ่งชั่วโมง
  4. ตั้งกระทะใส่น้ำมันรอจนกระทั่งน้ำมันเดือด นำหมูลงทอด โดยใช้ที่คีบจับไว้ และทอดจากด้านหนังหมูก่อน แต่พยายามไม่ให้หนังแนบลงกับก้นกระทะ ทอดจนหนังเริ่มขึ้นฟู แล้วจึงกลับด้านซ้ายขวา ทอดต่อจนกระทั่งเหลืองกรอบ จากนั้นนำขึ้นพักบนตะแกรง ห้ามตากลม
  5. รอจนหมูหายร้อน จึงค่อยหั่นชิ้นขนาดพอดีคำในปริมาณที่ต้องการนำไปใช้ แต่ถ้าใช้ไม่หมดยังไม่จำเป็นต้องหั่น สามารถเก็บใส่ช่องฟรีสไว้อุ่นใช้ได้อีกในครั้งต่อไป

สูตรผัดคะน้าหมูกรอบ
เริ่มจากการเลือกผักคะน้า ให้เลือกผักคะน้าที่มีลักษณะอ่อน ก้านใหญ่ สีไม่เขียวเข้มเกินไป เพราะถ้าหากคะน้ามีสีเขียวเข้ม นั่นแปลว่าเป็นคะน้าแก่แล้ว ซึ่งถ้าหากเอามาทำ อาจจะทำให้ผัดผักออกมามีรสขม และเหม็นเขียวได้ ส่วนใครที่ชอบรับประทานแบบก้าน ก็ให้ปอกเปลือกออกเสียก่อน จะได้ไม่เป็นเสี้ยนเวลารับประทาน

วัตถุดิบ
  • คะน้าอ่อน หั่นท่อนยาว 2 นิ้ว 3 ถ้วย
  • กระเทียมไทยบุบ 4 เม็ด หรือกระเทียมจีนสับ 1 ช้อนโต๊ะ
  • พริกจินดาแดง 2-3 เม็ด หรือพริกขี้หนูสวนบุบ 6-8 เม็ด
  • น้ำปลา 1 ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
  • น้ำมันหอย 2 ช้อนโต๊ะ
  • เต้าเจียว 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำเปล่า 3 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันสำหรับผัด 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
  1. นำคะน้า หมูกรอบ น้ำปลา น้ำตาลทราย น้ำมันหอย เต้าเจี้ยว น้ำมันหอย น้ำเปล่า ใส่จานรอไว้ โดยใส่เครื่องปรุง พริก และกระเทียมไว้ด้านบนสุด
  2. ตั้งกระทะรอจนน้ำมันร้อนจัดด้วยไฟแรง แล้วจึงเทส่วนผสมทั้งหมดลงผัดแบบเร็ว ๆ จนกระทั่งคะน้าสุก ตักเสิร์ฟ (หากมีก้านและใบคละกัน ควรนำก้านลงผัดก่อน แล้วจึงค่อยนำส่วนใบลงผัดทีหลัง เพื่อให้คะน้าสุกทั่วเท่ากันโดยไม่มีกลิ่นเหม็นเขียว)
 ผัดพริกแกงราดข้าว

4. ผัดพริกแกงราดข้าว

นอกจากข้าวผัดกะเพราที่หลายคนมองว่าเป็นเมนูอาหารตามสั่ง ที่ไม่ว่าร้านไหนก็จะต้องมีแล้ว ขอบอกว่าผัดพริกแกงราดข้าว ก็เป็นอีกเมนูที่เป็นสุดยอดเมนูห้ามพลาดสำหรับผู้ที่ชื่นชอบรสชาติจัดจ้านเผ็ดร้อนแบบไทย ๆ

แต่ถ้าจะให้อร่อยดี และช่วยประหยัดเงินได้ งานนี้ก็ควรจะต้องตำพริกแกงผัด หรือพริกแกงเผ็ดเอาไว้ใช้เองด้วย จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องรสชาติ ความสะอาด และปลอดภัย ว่าแล้วนอกจากสูตรพริกแกง ก็มีสูตรผัดพริกแกงราดข้าวมาฝากด้วย จะได้พร้อมเสิร์ฟเมนูนี้ได้เลยทันที และสำหรับวัตถุดิบและวิธีการก็มีดังนี้

สูตรพริกแกงผัด พริกแกงเผ็ด
วัตถุดิบ
  • พริกชี้ฟ้าแห้ง 5 เม็ด
  • ข่าสับละเอียด 1 ช้อนชา
  • ตะไคร้ซอย 1 ช้อนโต๊ะ
  • ผิวมะกรูดสับ ครึ่งช้อนชา
  • รากผักชีสับ 1 ช้อนโต๊ะ
  • หอมแดงสับ 2 ช้อนโต๊ะ
  • กระเทียมสับ 3 ช้อนโต๊ะ
  • กะปิอย่างดี 1 ช้อนชา
  • พริกไทยขาวเม็ด ครึ่งช้อนชา
  • เกลือแกง 1 ช้อนชา

วิธีทำพริกแกง
  1. ใช้มีดผ่ากลางเม็ดพริกเอาเมล็ดออก จากนั้นนำไปแช่น้ำสักครู่จนพริกเริ่มนิ่ม บีบน้ำออกแล้วนำไปหั่นหยาบ ๆ
  2. นำใส่ครกโขลกกับเกลือจนละเอียด ใส่ข่า ตะไคร้ ผิวมะกรูด รากผักชี และพริกไทย ตามลงไป แล้วโขลกต่อจนละเอียด
  3. จากนั้นใส่หอมแดง กระเทียมลงโขลกต่อ เมื่อละเอียดเข้ากันดีแล้ว จึงใส่กะปิแล้วตำต่อจนเข้ากัน
  4. ตักใส่ภาชนะปิดฝาสนิท หรือใส่ถุงมัดปาก เก็บรักษาในตู้เย็น ได้ราว ๆ 2-3 สัปดาห์

วิธีทำผัดพริกแกงราดข้าว
วัตถุดิบที่ใช้ (สามารถใส่ได้สารพัดเนื้อสัตว์ตามชอบ)
  • เนื้อสัตว์ตามชอบ 100 กรัม
  • ถั่วฝักยาวหั่นท่อนพอดีคำ 100 กรัม (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)
  • มะเขือเปราะ 80 กรัม (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)
  • ใบมะกรูด 2 ใบ (1 ใบฉีก/อีก 1 ใบซอยละเอียด)
  • พริกชี้ฟ้าแดงหั่นแฉลบสำหรับตกแต่ง 1 เม็ด
  • พริกแกงเผ็ด 2 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำปลาอย่างดี 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
  • น้ำมันพืชสำหรับผัด 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
  1. ใส่น้ำมันตั้งกระทะ น้ำมันเริ่มร้อน
  2. ใส่พริกแกงลงผัดให้ทั่วและหอมด้วยไฟกลาง
  3. จากนั้นใส่เนื้อสัตว์ลงผัดพอสุก ใส่มะเขือเปราะ และถั่วฝักยาวตามลงไป ผัดจนเข้ากัน หากแห้งเกินไปใส่น้ำลงไปเล็กน้อย แล้วผัดต่อ
  4. ปรุงรสด้วยน้ำปลา และน้ำตาล เมื่อทุกอย่างใกล้สุก ใส่ใบมะกรูดฉีก และพริกชี้ฟ้าส่วนหนึ่งลงไป
  5. ผัดแบบเร็ว ๆ แล้วปิดไฟ ตักเสิร์ฟ โรยหน้าด้วยมะกรูดซอย และพริกชี้ฟ้าที่เหลือ

ผัดซีอิ๊ว

5. ผัดซีอิ๊ว

ผัดซีอิ๊วถือเป็นเมนูอาหารเส้นยอดนิยมประจำร้านอาหารตามสั่งแทบจะทุกที่ แถมเครื่องปรุงก็ไม่ได้มีมาก วิธีการทำก็ไม่ได้ยากเย็น ใครที่ใคร่ปรุง เปรี้ยว หวาน เผ็ด เค็ม ก็สามารถเติมได้เต็มที่ตามใจชอบ แค่เวลาผัดจะต้องใช้ไฟแรง ๆ ให้ได้กลิ่นหอมของกระทะ เพื่อเพิ่มอรรถรสในการรับประทานให้มากยิ่งขึ้น

วัตถุดิบ
  • เส้นใหญ่ 150 กรัม (แยกเส้นใหญ่ออกจากกันทีละเส้นอย่าให้ติดกัน) หรือถ้าเลือกใช้เส้นหมี่ ก็ให้ลดปริมาณลงเล็กน้อย และนำไปแช่น้ำสักครู่ก่อนนำมาผัด
  • เนื้อสัตว์ตามชอบ (ถ้าเป็นหมูหรือเนื้อให้หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ) 100 กรัม
  • ผักคะน้า (หั่นท่อน 2-3 นิ้ว นำไปลวกเร็ว ๆ แล้วแช่น้ำเย็น สะเด็ดน้ำพักไว้) 3-4 ต้น
  • ไข่ไก่ 1 ฟอง
  • กระเทียมสับ 2 ช้อนชา
  • ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำปลา ครึ่งช้อนโต๊ะ แต่ถ้าใครไม่ชอบกลิ่นน้ำปลาจะใช้เป็นซีอิ๊วขาวแทนก็ได้ ปริมาณที่ใช้คือ 1-2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย ครึ่งช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
  • พริกไทยป่น โรยก่อนเสิร์ฟ ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้

วิธีทำ
  1. ใส่น้ำมันในกระทะ แล้วใส่กระเทียมสับตามลงไป ใช้ไฟปานกลาง เจียวกระเทียมจนเริ่มหอม
  2. ตามด้วยเนื้อสัตว์ลงไปผัดพอสุก ตอกไข่ลงไปขยี้ให้ไข่แตกจากกัน พอไข่เริ่มสุกจึงใส่เส้นตามลงไป
  3. เร่งไฟให้แรง ปรุงรสด้วยซีอิ๊วดำหวานให้ทั่ว ๆ แล้วผัดให้สีสวย ตามด้วยน้ำปลา หรือซีอิ๊วขาว และน้ำตาลทราย จากนั้นยีเบา ๆ ให้เข้ากัน
  4. ใส่ผักคะน้าตามลงไป ผัดให้เข้ากันอีกครั้ง ตักเสิร์ฟ โรยพริกไทยเล็กน้อย

สำหรับผัดซีอิ๊วเส้นหมี่
เวลาที่ผัดให้ใส่น้ำมันเพิ่มไปอีกสักนิด เพราะเส้นหมี่ไม่มีน้ำมันในตัวเหมือนกับเส้นใหญ่ อาจจะทำให้ติดกระทะได้ ส่วนผักคะน้า หากไม่อยากลวกก่อนผัด ก็ต้องผัดให้ผักคะน้าสุกทั่วถึงดี ไม่อย่างนั้นผักคะน้าจะเหม็นเขียวได้

ราดหน้า

6. ราดหน้า

วันนี้สูตรที่นำมาฝากจะเป็นสูตรการทำราดหน้าในแบบโบราณ ซึ่งเป็นสูตรในตำนานตั้งแต่รุ่นย่า รุ่นยาย เคยได้ให้ไว้ ซึ่งร้านอาหารตามสั่ง บางร้านก็ยังพอมีให้รับประทานอยู่บ้าง

วัตถุดิบ
  • เส้นใหญ่ 300 กรัม
  • ซีอิ๊วดำหวาน ครึ่งช้อนชา
  • น้ำมันสำหรับผัดเส้น 1 ช้อนโต๊ะ
  • เนื้อหมูหั่นบาง ๆ 120 กรัม (ไม่หมัก)
  • คะน้าหั่นท่อน 3 ต้น
  • กระเทียมสับ 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
  • ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
  • เต้าเจี้ยวดำ 4 ช้อนโต๊ะ (หากใครไม่ชอบสีเข้ม ก็สามารถเปลี่ยนเป็นเต้าเจี้ยวขาวแทนได้)
  • น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันพืชสำหรับผัดน้ำราดหน้า 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำสะอาด 3 ถ้วย
  • แป้งมัน หรือแป้งข้าวโพด 3-4 ช้อนโต๊ะ (ละลายน้ำ)
  • พริกไทยป่นโรยหน้า

วิธีทำ
  1. เริ่มจากการนำเส้นใหญ่แยกออกจากกัน แล้วนำไปคลุกเคล้าซีอิ๊วดำซะก่อน จากนั้นก็ตั้งกระทะแล้วนำเส้นลงผัดเร็ว ๆ ด้วยไฟแรง ให้ได้กลิ่นหอมของกระทะ และนำขึ้นพักใส่จานรอไว้
  2. จากนั้นก็ตั้งกระทะอีกครั้ง มาผัดในส่วนของน้ำราดหน้ากันต่อ เริ่มจากใส่กระเทียมลงไป เจียวกระเทียมด้วยไฟกลางจนเริ่มเหลืองและหอม ใส่หมูลงไปรวนพอสุก เร่งไฟแรง ใส่ผักคะน้าลงไปผัด แล้วปรุงรสตามลำดับ จากนั้นจึงเทน้ำสะอาดลงไป รอกระทั่งน้ำเดือด
  3. ผสมแป้งมันกับน้ำจนเข้ากันดี แล้วค่อย ๆ เทลงในกระพร้อมกับใช้ตะหลิวคนเร็ว ๆ จนกระทั่งแป้งเข้ากันดีกับน้ำซุปและเดือดพล่าน
  4. ตักใส่จานเสิร์ฟ โรยด้วยพริกไทยเล็กน้อย

เคล็ดลับการทำพริกน้ำส้มสำหรับกินกับราดหน้า
ควรหั่นพริกแช่ไว้ในน้ำส้มทิ้งไว้ก่อนราว 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้พริกและน้ำส้มซึมซับรสชาติซึ่งกันและกันได้ดีขึ้น และเวลาปรุงจะช่วยตัดรสชาติให้กับราดหน้า ได้ดีมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

ทอดกระเทียม

7. ทอดกระเทียม

อาหารตามสั่งบางร้านอาจจะเป็นสูตรทอดกระเทียมแบบแห้ง ที่โรยหน้ามาด้วยกระเทียมเจียวกรอบ ๆ ส่วนบางร้านเป็นแบบซอสขลุกขลิก เคลือบเนื้อสัตว์ แบบที่ผัดกระเทียมลงไปพร้อมกัน งานนี้ใครจะชอบสูตรไหน เราก็จัดมาให้เลือกครบ เพราะมีทั้ง 2 สูตรมาฝาก ไปดูขั้นตอน และวัตถุดิบในการทำเมนูนี้กันได้เลย

วัตถุดิบสำหรับเมนูทอดกระเทียมสูตรขลุกขลิก (เป็นกับข้าว)
  • เนื้อสัตว์ตามชอบ 250 กรัม
  • กระเทียมไทยสับ ครึ่งช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาล 1/2 ช้อนชา
  • ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนชา
  • ซอสปรุงรส 2 ช้อนชา
  • พริกไทยป่น (ดำหรือขาวก็ได้) 1/2 ช้อนชา
  • น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
  • ซีอิ๊วดำเล็กน้อยเพื่อเพิ่มสีสัน หรือ 1/8 ช้อนชา
  • น้ำเปล่า 3 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
  • แตงกวา 1 ลูก (เป็นผักเคียง)
  • ผักชีหั่นสำหรับตกแต่ง 1 ต้น

วิธีทำทอดกระเทียมสูตรขลุกขลิก
  1. ตั้งกระทะไฟกลาง ใส่น้ำมันแล้วนำกระเทียมลงเจียวพอหอม
  2. ใส่เนื้อสัตว์ตามลงไป แต่หากเป็นปลาหมึกควรนำไปลวก และสะเด็ดน้ำก่อนนำมาผัด
  3. เร่งไฟแล้วผัดพอให้เนื้อสัตว์สุกเล็กน้อย ปรุงรสโดยใส่พริกไทยเป็นอันดับสุดท้าย
  4. ผัดจนกระทั่งเนื้อสัตว์สุกดี น้ำเริ่มงวดลง แต่ยังพอขลุกขลิก ตักเสิร์ฟ

เมนูทอดกระเทียมสูตรขลุกขลิก สูตรนี้ก็สามารถเคียงด้วยแตงกวา และตกแต่งด้วยผักชีเพิ่มได้เช่นกัน หรือถ้าหาใครที่ชอบความหอมเครื่องปรุงรสสมุนไพรตามสูตรโบราณ ก็สามารถตำ 3 เกลอ (รากผักชี, กระเทียม, พริกไทย) ลงผัด แทนขั้นตอนการเจียวกระเทียมในขั้นตอนแรก ก็จะทำให้ได้กลิ่นและรสชาติที่แตกต่างออกไปได้ แถมยังสามารถทำพริกน้ำปลามะนาว สูตรพริกป่นรับประทานคู่กันด้วย ก็ยิ่งเสริมรสชาติกันได้ดียิ่งขึ้น

วัตถุดิบสำหรับเมนูทอดกระเทียมสูตรแห้ง (เป็นกับข้าว)
  • เนื้อสัตว์ตามชอบ 250 กรัม
  • กระเทียมบุบ แล้วสับหยาบ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
  • ซีอิ๊วดำหวาน 1 ช้อนชา
  • น้ำตาล 1/2 ช้อนชา
  • น้ำมันสำหรับผัด 1 ช้อนชา
  • น้ำมันพืชสำหรับเจียวกระเทียมกรอบ 2 ช้อนโต๊ะ
  • พริกไทยขาวป่นเล็กน้อย
  • แตงกวา 1 ลูก (เป็นผักเคียง)
  • ผักชีหั่นสำหรับตกแต่ง 1 ต้น

วิธีทำทอดกระเทียมสูตรแห้ง
  1. นำกระเทียมแบ่ง 1 ช้อนโต๊ะ ลงไปเจียวในน้ำมันด้วยไฟอ่อน ให้ได้สีเหลืองทองและเริ่มกรอบ ตักขึ้นสเด็ดน้ำมันแล้วพักไว้ (ขั้นตอนนี้ต้องหมั่นคน และคอยระวังอย่าให้กระเทียมไหม้)
  2. ตั้งกระทะด้วยไฟกลางอีกครั้ง นำกระเทียมที่เหลือลงเจียวในน้ำมันผัด เริ่มเหลืองแล้วจึงใส่เนื้อสัตว์
  3. ผัดพอเนื้อสัตว์สุกเล็กน้อย ใส่เครื่องปรุง แล้วเร่งไฟ ผัดต่อจนกระทั่งเนื้อสัตว์คายน้ำออกและเริ่มแห้ง หากเป็นอาหารทะเล หรือเนื้อสัตว์ที่มีน้ำมาก อาจจะนำไปลวก หรือทอดก่อน (ชุปแป้งทอดแบบแห้งก็ได้) ก่อนนำมาคลุกซอสผัด เพื่อให้เนื้อสัตว์คายน้ำออก เวลาผัดน้ำจะได้ไม่ออกเพิ่ม และทำให้น้ำออกมาเยอะเกินไป และเสียรสชาติผัดแห้ง
  4. ผัดจนกระทั่งซอสเคลือบเนื้อสัตว์ทั่วดี ตักใส่จานเสิร์ฟ โรยพริกไทยขาวป่น กระเทียมเจียว แล้วตกแต่งด้วยผักชี และเคียงแตงกวาข้างจาน รับประทานคู่กับซอสพริก ก็ช่วยเพิ่มรสชาติให้เมนูนี้ได้ดี

ผัดพริกเผา

8. ผัดพริกเผา

เมนูบรรเทาความคิดถึงที่ให้ฟิลลิ่งเหมือนนั่งนิ่ง ๆ ริมทะเล กับเมนูอาหารตามสั่งอีก 1 เมนูที่แสนง่าย ผัดพริกเผารวมสหายทะเล ที่มีสูตร วัตถุดิบ และวิธีทำดังต่อนี้

วัตถุดิบ
  • กุ้งขาวไซส์กลาง 100 กรัม
  • หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ 5 ตัว
  • ปลาหมึกกล้วยไซส์กลาง 1 ตัว (ประมาณ 100 กรัม)
  • กระเทียมจีนสับ 2-3 กลีบ
  • พริกแดงจินดาสับหยาบ 2 เม็ด
  • หอมหัวใหญ่ไซส์กลาง 1 หัว
  • ใบโหระพาครึ่งถ้วย
  • พริกชี้ฟ้าหั่นแฉลบ 1 เม็ด (เพิ่มสีสัน)
  • น้ำพริกเผา 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสปรุงรส 2 ช้อนชา
  • น้ำปลา ครึ่งช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
  • นมข้นจืด 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันสำหรับผัด 1 ช้อนชา

วิธีทำ
  1. นำสหายทะเลล้างทำความสะอาด แกะเปลือกกุ้งและผ่าหลัง จากนั้นหั่นปลาหมึกเป็นชิ้น ๆ ขนาดพอดีคำ
  2. นำปลาหมึกไปลวกแค่พอสุก แล้วสะเด็ดน้ำพักไว้ เพราะถ้าหากไม่ลวกปลาหมึกไว้ก่อน เวลานำปลาหมึกลงผัดพร้อมเนื้อสัตว์อื่น น้ำจากตัวปลาหมึกอาจจะทำให้เสียรสชาติได้
  3. นำหอมหัวใหญ่มาปอกเปลือก ล้างทำความสะอาดแล้วหั่นเตรียมไว้
  4. ตั้งกระทะไฟกลาง ใส่น้ำมันตามด้วยกระเทียมและพริกจินดาสับ ผัดจนหอม
  5. ใส่พริกเผาลงในกระทะผัดน้ำพริกให้หอมแล้วใส่หอมหัวใหญ่ลงไปผัด
  6. ตามด้วยเนื้อสัตว์ทั้งหมด เร่งไฟแรงผัดแบบเร็ว ๆ จนกระทั่งเนื้อสัตว์สุกทั่ว
  7. ใส่เครื่องปรุงทั้งหมดผัดทุกอย่างให้เข้ากัน จากนั้นชิมรส
  8. เมื่อรสชาติได้ที่ใส่พริกชี้ฟ้าและใบโหระพา ผัดให้เข้ากันแล้วปิดไฟทันที

สำหรับใครที่แพ้อาหารทะเล สามารถนำเนื้อสัตว์ชนิดอื่นแทนได้ แต่ในส่วนของการปรุงรสอาจจะต้องปรับลดสูตรลงเล็กน้อย แล้วชิมรสชาติให้เป็นไปตามที่ต้องการ

สุกี้โบราณ

9. สุกี้โบราณ

สูตรสุกี้โบราณ กับการทำน้ำจิ้มสุกี้ที่ไม่จำเป็นต้องใส่เต้าหู้ยี้มาฝากกัน ซึ่งก่อนที่จะไปถึงวิธีการและขั้นตอนของการทำน้ำจิ้มสุกี้ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการนำเนื้อสัตว์ไปหมักกับเครื่องปรุงจนเข้าเนื้อซะก่อน ตามด้วยการเตรียมน้ำซุปที่เป็นหัวใจสำคัญของการทำสุกี้โบราณ

วัตถุดิบสำหรับหมักเนื้อสัตว์
  • เนื้อสัตว์ตามชอบ 250 กรัม
  • น้ำมันงา 1 ช้อนชา
  • กระเทียมสับละเอียด 1 ช้อนชา
  • น้ำมันหอย 2 ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย 1/4 ช้อนชา
  • พริกไทยป่น 1/4 ช้อนชา
  • งาขาวคั่ว 1 ช้อนชา

วิธีหมักเนื้อสัตว์
นำเนื้อสัตว์มาหมักกับเครื่องทั้งหมดทิ้งไว้ราว 15-30 นาที

วัตถุดิบสำหรับต้มน้ำซุป
  • น้ำเปล่า 1.5 ลิตร
  • กระดูกเล้ง ครึ่งกิโลกรัม
  • หัวไชเท้า ครึ่งหัว
  • ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1 ช้อนชา
  • น้ำตาลกรวด 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำน้ำซุป
นำน้ำเปล่าตั้งไฟแรง รอน้ำเดือดใส่เล้งและหัวไชเท้า ปล่อยให้เดือดอีกครั้ง 5 นาที ทยอยช้อนฟองออก และปรุงรส หรี่ไฟลงแล้วเคี่ยวให้หวานน้ำต้มกระดูก

วัตถุดิบสำหรับน้ำจิ้มสุกี้แบบไม่มีเต้าหู้ยี้
  • ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสพริก 150 มิลลิลิตร
  • น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ
  • กระเทียมสับหยาบ 2 ช้อนโต๊ะ
  • รากผักชีสับละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
  • พริกขี้หนูเขียวและแดงสับหยาบ 2 ช้อนโต๊ะ
  • งาขาวคั่วบุบ 3 ช้อนโต๊ะ
  • ผักชีซอยสำหรับตกแต่ง

วิธีทำน้ำจิ้มสุกี้แบบไม่มีเต้าหู้ยี้
  1. ผสมซีอิ๊วขาว น้ำส้มสายชู ซอสพริก น้ำตาลทราย และน้ำมันงา ลงในหม้อเคี่ยวด้วยไฟอ่อน ๆ (ส่วนผสมที่ 1)
  2. คนให้ทั่วจนเข้ากันดี และน้ำตาลละลายดี ปิดไฟนำออกจากเตา พักจนเย็น
  3. ใส่รากผักชี กระเทียม พริกขี้หนู น้ำมะนาว และงาขาวคั่ว (ส่วนผสมที่ 2)
  4. ชิมรสชาติให้ออกเปรี้ยว หวาน ตามด้วยเค็ม ส่วนระดับความเผ็ด สามารถปรุงรสได้ตามชอบ

ซึ่งสูตรน้ำจิ้มสูตรนี้สามารถเคี่ยวส่วนผสมที่ 1 แล้วเก็บใส่ในภาชนะปิดสนิทแช่ไว้ในตู้เย็นได้นาน เมื่อไหร่ที่จะนำมารับประทานจึงค่อยใส่ส่วนผสมที่ 2 และปรุงรสตามทีหลังได้

วัตถุดิบสำหรับทำสุกี้โบราณ
  • เนื้อสัตว์หมัก
  • น้ำซุป
  • ไข่ไก่
  • ผักตามชอบ
  • วุ้นเส้น
  • น้ำจิ้ม

วิธีทำสุกี้โบราณ
ต้มน้ำซุปจนกระทั่งเดือด ตอกไข่ใส่เนื้อสัตว์ที่หมักไว้ แล้วคลุกเคล้าให้ทั่วดี ทยอยใส่ลงหม้อ ใส่ผักรอให้น้ำเดือดอีกครั้ง แล้วใส่วุ้นเส้นตามลงไป ปิดไฟ แล้วตักเสิร์ฟ พร้อมน้ำจิ้ม

ผัดผงกะหรี่

10. ผัดผงกะหรี่

อีกหนึ่งเมนูอาหารตามสั่งที่ทำไม่ยาก แต่ราคากลับสูงลิ่วเมื่อเข้าไปอยู่ในภัตตาคารหรู แล้วอย่างนี้ถ้าจะทำไว้รับประทานเองที่บ้าน หรือทำขายล่ะจะทำได้ไหม? ต้นทุน วัตถุดิบเป็นอย่างไร ราคาจะแพงหรือเปล่า? วันนี้เรามีคำตอบแบบครบครัน ทั้งขั้นตอนการทำ และวิธีการเตรียมว่าผัดผงกะหรี่ที่อร่อยเทียบเท่าระดับภัตตาคารนั้น เค้าทำกันอย่างไร มาดูกันเลย

วัตถุดิบสำหรับผัดผงกะหรี่
  • เนื้อปูก้อน กรรเชียงปู กุ้ง ปลาหมึก (ต้องลวกก่อน) ปลา ไก่ เนื้อ หมู ฯลฯ ตามความชอบ 200 กรัม
  • หอมหัวใหญ่ (หั่นเสี้ยว) ครึ่งลูก
  • ต้นหอม (หั่นท่อน) 2 ต้น
  • ไข่ไก่ 3 ฟอง
  • พริกชี้ฟ้าแดงผ่าเอาเมล์ดออก และหั่นเส้น 1 เม็ด
  • คึ่นช่ายหั่นท่อนขนาดพอดี ๆ 1 ต้น (หรือไม่ใส่ก็ได้)
  • กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันพืช 2 ช้อนชา

วัตถุดิบสำหรับซอสผงกะหรี่ (เตรียมไว้สำหรับผัดพร้อมวัตถุดิบหลัก)
  • ผงกะหรี่ไทย 2 ช้อนชา
  • ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสพริก 1 ช้อนโต๊ะ
  • ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำพริกเผา 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันพริกเผา 3 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย ครึ่งช้อนชา
  • พริกไทยป่น 1/4 ช้อนชา
  • นมสดจืด 125 มิลลิลิตร
  • น้ำสะอาด 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
  1. เตรียมซอสผงกะหรี่ที่ได้แก่ ผงกะหรี่ ซอสหอยนางรม ซอสพริก ซีอิ๊วขาว น้ำพริกเผา น้ำตาลทราย พริกไทยป่น นมสดจืด น้ำซุป และน้ำมันพริกเผาลงไปผสมกันในถ้วย แล้วคนให้เข้ากันพักไว้
  2. ตั้งกระทะไฟกลาง เจียวกระเทียมกับน้ำมันพืชจนหอม แล้วใส่เนื้อสัตว์ตามลงไป เร่งไฟแรง
  3. จากนั้นใส่หอมหัวใหญ่ลงไปผัดจนสุกแล้ว จึงค่อยใส่ต้นหอมลงไป
  4. เทซอสผงกะหรี่ ตามด้วยไข่ที่ตีจนเนียนดี (แบบเบามือ ไม่ต้องตีแรงเหมือนเวลาเจียวไข่) ใส่ตามลงไป
  5. คนส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากันแบบเร็ว ๆ และเคลือบเนื้อสัตว์จนทั่ว
  6. ใส่ต้นหอม คึ่นช่าย พริกชี้ฟ้าลงไปคลุกเคล้า แล้วรีบปิดไฟทันที
  7. ตักเสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อน ๆ

ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้น อาจจะดูเหมือนเครื่องปรุงค่อนข้างเยอะสักหน่อย แต่เชื่อว่าถ้าทำเอง และเลือกวัตถุดิบในการทำที่ราคาเหมาะสม รสชาติความอร่อยที่ได้นั้น จะสามารถเทียบเท่า ผัดผงกะหรี่ ระดับภัตตาคาร ที่จานละหลายร้อยบาท จนถึงหลักพันได้เลยทีเดียว

ผัดเผ็ดหน่อไม้ไก่ราดข้าว

11. ผัดเผ็ดหน่อไม้ไก่ราดข้าว

เมนูที่เข้ากันอย่างลงตัว ทั้งรสชาติและเท็กซ์เจอร์ของเนื้อสะโพกไก่ หน่อไม้หวาน และเครื่องสมุนไพร อีกหนึ่งเมนูสูตรผัดที่เชื่อว่าหลายคนน่าจะชื่นชอบ เพราะเป็นอาหารตามสั่งที่หาทานยาก แต่ให้รสชาติจัดจ้านอร่อยลงตัว มีทั้งความนัว และความกรุบกรอบของหน่อไม้ และเครื่องเทศสมุนไพรไทย ซึ่งสูตรของเมนูผัดเผ็ดหน่อไม้ไก่ราดข้าว ในวันนี้นอกจากจะเป็นสูตรที่ถึงเครื่องถึงรสชาติแล้ว ยังเป็นสูตรโบราณอีกด้ว

วัตถุดิบ
  • สะโพกไก่หั่นชิ้น 100 กรัม
  • หน่อไม้หวานสับเส้น 50 กรัม
  • กระเทียม 3 กลีบ
  • พริกขี้หนูสดเขียวแดง 4-5 เม็ด
  • ตะไคร้ซอย ครึ่งต้น
  • ผิวมะกรูด 2 ชิ้นเล็ก
  • น้ำปลา 2 ช้อนชา
  • น้ำตาลปี๊บ ครึ่งช้อนชา
  • ซอสหอยนางรม 1 ช้อนชา
  • น้ำเปล่า 1 ช้อนโต๊ะ
  • ใบมะกรูดฉีก 1 ใบ
  • ใบกะเพราแดง 1 กำมือ
  • น้ำมันพืช 1 ช้อนชา
  • พริกชี้ฟ้า สำหรับตกแต่ง

วิธีทำ
  1. เริ่มจากตำพริก กระเทียม ตะไคร้ และผิวมะกรูดพอหยาบ
  2. จากนั้นตั้งกระทะด้วยไฟกลางแล้วใส่น้ำมัน ตามด้วยเครื่องสมุนไพรที่ตำไว้ลงไปผัด
  3. เมื่อผัดเครื่องพอหอมดีแล้ว จึงใส่สะโพกไก่ที่หั่นชิ้นพอดีคำลงไป ตามด้วยหน่อไม้หวาน แล้วเติมน้ำเปล่าที่ล้างก้นครก
  4. ผัดจนกระทั่งสุกดี จึงปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล และซอสหอยนางรม
  5. จากนั้นใส่ใบกะเพรา พริกชี้ฟ้า และใบมะกรูด

เมื่อเสร็จแล้วตักราดลงบนข้าวสวยร้อน ๆ อาจเสิร์ฟพร้อมไข่ดาว หรือไข่เจียว ที่จะช่วยเพิ่มความกลมกล่อม และลดรสชาติของความจัดจ้านลงได้ ที่สำคัญเมนูนี้ถ้าหน่อไม้หวานที่สับแล้วนำมาใช้ในครั้งเดียวไม่หมด ก็สามารถนำไปต้มแล้วเก็บใส่ภาชนะปิดฝาแช่ไว้ในตู้เย็น และเมื่อจะนำมาใช้อีกครั้ง ค่อยเอาหน่อไม้มาบีบน้ำออก แล้วนำน้ำที่เหลือไปใช้เป็นน้ำสต็อกต่อได้

แกงจืดเต้าหู้หมูสับ

12. แกงจืดเต้าหู้หมูสับ

ถ้าอยากซดซุปร้อน ๆ ในวันที่อากาศแปรปรวน แกงจืดเต้าหูหมูสับ ก็น่าจะช่วยให้คุณสดชื่นขึ้น ทำเป็นเมนูกลางที่มารับประทานกันในครอบครัว หรือจะสั่งมารับประทานร่วมกับเพื่อน ๆ ในออฟฟิศก็ได้ วันนี้จึงขอนำสูตรง่าย ๆ ในการทำมาฝากกัน โดยมีวัตถุดิบ ส่วนผสม และวิธีการทำดังนี้

วัตถุดิบ
  • หมูสับ 250 กรัม
  • เต้าหู้ไข่ 1-2 หลอด (หั่นชิ้นพอดีๆ ตามชอบ)
  • ผงปรุงรสต้มจืด 1 ช้อนโต๊ะ หรือซุปก้อน 1 ก้อน
  • กระเทียม 6-7 กลีบ (บุบแล้วสับหยาบ)
  • แครอทหั่นแว่น 5-6 ชิ้น
  • ผักกาดขาวตามชอบ 3 ใบ
  • ขึ้นช่าย หรือต้นหอม ตามชอบ
  • ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำปลา 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • พริกไทยป่นไว้โรยก่อนเสิร์ฟ
  • น้ำมันสำหรับเจียวกระเทียม 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำเปล่า 1 ลิตร

วิธีทำ
  1. นำหมูสับ คลุกเคล้ากับน้ำปลา และพริกไทยป่นให้พอเข้ากัน
  2. นำกระเทียมลงเจียวกับน้ำมันด้วยไฟอ่อน จนเหลืองและหอม ตักพักไว้
  3. ต้มน้ำเดือด ใส่ผงปรุงรสหรือซุปก้อน คนจนละลายดี ปั้นหมูสับที่ปรุงรสไว้ให้เป็นก้อนกลมลงต้มพอสุก
  4. เมื่อเดือดอีกครั้ง ทยอยช้อนฟองออก แล้วปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว แล้วใส่ผักกาดขาว ชิมรสอีกครั้ง แล้วใส่เต้าหู้ไข่ ต้มต่อจนผักกาดขาวสลด
  5. ใส่ขึ้นช่าย ต้นหอม ตามลงไป กดให้จมลงในน้ำ แล้วปิดไฟ
  6. ก่อนเสิร์ฟตักกระเทียมเจียวโรยหน้าด้วยพริกไทยป่น

เสิร์ฟคู่กับข้าวสวยร้อน ๆ กลิ่นของผัก และกระเทียมเจียวที่หอมกรุ่น จะช่วยเรียกน้ำย่อยให้ต่อมรับรสของคุณทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งอาจทำให้เมนูที่แสนธรรมดา กลายเป็นเมนูที่พาเอาคุณอร่อยจนหยุดแทบไม่ได้

ข้าวผัดกะเพราโบราณ

13. ข้าวผัดกะเพราโบราณ

สูตรดั้งเดิมแท้ ๆ แบบที่ผ่านการปรุงแต่งน้อย ๆ แต่ได้รสชาติเผ็ดร้อนถึงเครื่อง เหมือนสมัยที่ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ทำให้กินตอนเด็ก ๆ เผื่อว่าจะได้ลองไปทำรับประทานกันดู หรือใครที่กำลังคิดอยากจะทำขาย ก็จะเพิ่มมูลค่าอาหารตามสั่ง ด้วยการปรับสูตรข้าวผัดกะเพราให้เป็นสูตรดั้งเดิมขนานแท้กันได้อีกทางหนึ่งด้วย เครื่องและขั้นตอนอาจจะไม่ยุ่งยาก แต่เชื่อว่ารสชาติของ ข้าวผัดกะเพราสูตรโบราณ อาหารตามสั่งเมนูนี้จะมีรสชาติที่ถึงใจ ตราตรึงผู้ชิมไปอย่างยาวนานแน่นอน

วัตถุดิบ
  • เนื้อสัตว์ตามชอบ 100 กรัม
  • กระเทียมไทย 5 กลีบ
  • พริกขี้หนูสวนแดงและเขียว (เล็ก) สับรวมกัน 4-5 เม็ด
  • พริกแห้ง 2-3 เม็ด
  • น้ำปลาอย่างดี 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 1/4 ช้อนชา
  • ใบกะเพราแดง 10 ใบ (หรือถ้าไม่มีเปลี่ยนเป็นกะเพราขาวได้)
  • น้ำมันพืช หรือน้ำมันหมู (เพิ่มความหอม) 1 ช้อนโต๊ะ
  • ข้าวหอมมะลิใหม่หุงสุก 200 กรัม

วิธีทำ
  1. เริ่มจากล้างและทุบกระเทียมทั้งเปลือกแล้วสับหยาบ ๆ กับพริกขี้หนูสวน แล้วก็หั่นพริกแห้งเป็นท่อน ๆ เตรียมไว้
  2. ตั้งน้ำมันในกระทะ ยังไม่ต้องให้น้ำมันร้อน ใส่กระเทียมและพริกขี้หนูลงไป ผัดจนหอม แล้วใส่พริกแห้งตามลงไป
  3. จากนั้นนำเนื้อสัตว์ลงไปผัดแบบเร็ว ๆ ด้วยไฟแรง ปรุงรสด้วยน้ำปลาแล้วน้ำตาล ผัดจนเข้ากันและแห้งดี
  4. ใครที่ชอบแบบพอมีน้ำขลุกขลิกไว้ราดข้าว ก็สามารถเติมน้ำเปล่าหรือน้ำสต็อกลงไปนิดหน่อยได้
  5. เมื่อได้ที่แล้วใส่ใบกะเพราตามลงไป ผัดเร็ว ๆ เพื่อให้ใบกะเพราะยังมีสีสวยงามตอนราดบนข้าวสวยร้อน ๆ ก่อนตักเสิร์ฟ

พะแนงหมูราดข้าว

14. พะแนงหมูราดข้าว

ถ้าจะถามว่าจะทำพะแนงหมูราดข้าวขาย แล้วพริกแกงที่จะใช้ล่ะ จะต้องใช้พริกแกงอะไร? แล้วจะซื้อสำเร็จรูป หรือตำเองดี? งานนี้เรามีสูตรทั้งเครื่องพริกแกงพะแนง และวิธีทำสำหรับคนที่ซื้อพริกแกงสำเร็จรูป มาให้ได้ทำตามกันทั้ง 2 แบบเลย

เริ่มจากพริกแกงสำเร็จรูป ถ้าหากคุณซื้อร้านประจำที่เชื่อถือได้ และคิดว่าสดใหม่อร่อย คุณก็สามารถนำเอาพริกแกงแดง มาเติม ยี่หร่า เม็ดผักชี (คั่ว) รากผักชี และถั่วลิสงคั่วมาใส่เพิ่มแล้วตำได้ แต่ถ้าใครนิยมตำเอง เพื่อให้ได้ความสดใหม่ หอมกรุ่น และประหยัด ก็ทำตามสูตรนี้ได้เลย

วัตถุดิบพริกแกงพะแนง
  • พริกขี้หนูแดงแห้งเผ็ดกลางสีแดงส้ม 10 เม็ด (ผ่าเอาเมล็ดออก หั่นท่อนแล้วนำไปแช่น้ำ เพื่อให้ตำได้ง่ายขึ้น)
  • พริกชี้ฟ้าแดงแห้งเม็ดใหญ่สีเข้ม 2-3 เม็ด (ผ่าเอาเมล็ดออก หั่นท่อนแล้วนำไปแช่น้ำ เพื่อให้ตำได้ง่ายขึ้น)
  • ตะไคร้ 2-3 ต้น (ซอยละเอียด)
  • หอมแดง 6-7 หัว (ซอยหยาบ)
  • ข่า 15 กรัม (หั่นแว่นแล้วซอยหยาบ)
  • ลูกผักชี (คั่ว) 1 ช้อนชา
  • ยี่หร่า (คั่ว) 1 ช้อนชา
  • เกลือ ครึ่งช้อนชา
  • ผิวมะกรูดครึ่งลูก (ซอยหยาบ)
  • ถั่วลิสง 1 1/2-2 ช้อนโต๊ะ
  • กระเทียมจีน 5 กลีบ หรือกระเทียมไทยปอก 15 กลีบ (สับหยาบ)
  • รากผักชี 2 ราก (ไม่เอาก้านสีเขียว ซอยหยาบ)
  • กะปิ 2 ช้อนชา

วิธีทำพริกแกงพะแนง
  1. เริ่มจากนำลูกผักชีและยี่หร่าลงไปตำพอละเอียด แล้วตามด้วยของแห้งอย่าง ข่า ตะไคร้ รากผักชี
  2. ตามด้วยหอม กระเทียม ผิวมะกรูด ถั่วลิสง และเกลือ
  3. ตำพอละเอียดดี ใส่พริกแห้ง บีบสะเด็ดน้ำตามลงไป โขลกต่อ
  4. จากนั้นใส่กะปิ แล้วโขลกต่ออีกครั้งจนเข้ากัน

วัตถุดิบแกงพะแนงหมูราดข้าว
  • พริกแกงพะแนง 2 ช้อนชา
  • กะทิ 50 มิลลิลิตร
  • เนื้อหมูสันคอสไลด์ หรือหั่นชิ้นบาง 100 กรัม
  • ใบมะกรูดฉีก 1 ใบ
  • น้ำปลา 1 ช้อนชา
  • น้ำตาลมะพร้าว 1 ช้อนชา
  • ใบมะกรูดฉีกซอยละเอียด สำหรับตกแต่ง
  • พริกชี้ฟ้าแดงซอย สำหรับตกแต่ง

วิธีทำแกงพะแนงหมูราดข้าว
  1. ใส่กะทิลงในกระทะ ตั้งไฟกลางแล้วผัดจนกะทิแตกมัน จากนั้นใส่พริกแกงพะแนงลงผัดจนหอม
  2. ใส่เนื้อหมูลงไปผัดจนเกือบสุก ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล ชิมรส และใส่ใบมะกรูดตามลงไป จนหมูสุกได้ที่
  3. ตักราดบนข้าวสวยร้อน ๆ ตกแต่งด้วยใบมะกรูดซอย และพริกชี้ฟ้าแดงเล็กน้อย ก็พร้อมเสิร์ฟ

ส่วนใครที่ต้องการทำแกงพะแนง โดยใช้เนื้อสัตว์อื่น ๆ แทน ก็สามารถนำสูตรแกงพะแนงหมู ไปประยุกต์ได้เลย

เขียวหวานผัดแห้ง

15. เขียวหวานผัดแห้ง

เมนูนี้ถือเป็นเมนูอาหารตามสั่งที่ทำง่ายอีกเมนูหนึ่ง ที่เพียงแค่เตรียมพริกแกงและเนื้อสัตว์เอาไว้ ก็แค่ผัดๆๆ เพียงเท่านี้ก็อร่อยเว่อร์ได้แล้ว สูตรนี้จะต้องใช้วัตถุดิบอะไร? และเตรียมเครื่องแบบไหน? มาดูกัน

วัตถุดิบสำหรับพริกแกงเขียวหวาน
  • พริกจินดาเขียว 50 กรัม
  • พริกชี้ฟ้าเขียว 50 กรัม
  • พริกขี้หนูสวนเขียว 20 กรัม
  • กระเทียมไทย 80 กรัม
  • หอมแดง 150 กรัม
  • ข่า 30 กรัม
  • ตะไคร้ 60 กรัม
  • รากผักชี 15 กรัม
  • ผิวมะกรูด 1 ลูก
  • ขมิ้นสด 3 กรัม
  • พริกไทยขาวเม็ด 15 เม็ด
  • ลูกผักชีคั่วป่น 1 ช้อนโต๊ะ
  • ยี่หร่าคั่วป่น 2 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1 ช้อนชา
  • กะปิอย่างดี 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีตำพริกแกงเขียวหวาน
  1. นำพริกไทยโขลกละเอียด ตามด้วยพริกหั่นชิ้น ลงโขลกพร้อมเกลือ เพื่อที่จะได้ละเอียดง่ายขึ้น
  2. ใส่ข่า ตะไคร้ ผิวมะกรูด รากผักชี แล้วโขลกต่อจนเริ่มแหลก
  3. จากนั้นจึงใส่หอมแดง กระเทียม และเครื่องแกงที่เหลือลงไป
  4. พอเครื่องแกงเรื่มละเอียดดี ใส่กะปิตามลงไปโขลกเป็นลำดับสุดท้าย จนเข้ากันดี
  5. เก็บใส่ภาชนะที่มีฝาปิดสนิท แล้วแช่ตู้เย็นเก็บไว้ได้ประมาณ 2 สัปดาห์

วัตถุดิบสำหรับเขียวหวานผัดแห้ง
  • เนื้อสัตว์ตามชอบ 100 กรัม
  • พริกแกงเขียวหวาน 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาล 1 ช้อนชา
  • น้ำปลา 2 ช้อนชา
  • ใบโหระพา 10 ใบ
  • ใบมะกรูดฉีก 1 ใบ
  • พริกชี้ฟ้าเหลืองหรือแดง หั่นแฉลบครึ่งเม็ด
  • มะเขือเปราะหั่น 1 ลูก (หั่นแบ่ง 4 ชิ้น)
  • น้ำมันพืช ครึ่งช้อนโต๊ะ

วิธีทำเขียวหวานผัดแห้ง
  1. ตั้งกระทะไฟอ่อน ใส่น้ำมันพืช และพริกแกงลงผัดจนได้กลิ่นหอม
  2. ใส่เนื้อสัตว์ลงไป เร่งไฟกลางแล้วผัดต่อให้พอสุก ใส่มะเขือเปราะตามลงไป ผัดให้มะเขือโดนความร้อนจนทั่ว เพื่อไม่ให้เปลี่ยนสี
  3. พอเริ่มสุกปรุงรสแล้วใส่ใบมะกรูดฉีก ผัดให้ใบมะกรูดคลายน้ำมันหอม แล้วใส่พริกชี้ฟ้า ตามใบโหระพา จากนั้นผัดเร็ว ๆ แล้วปิดไฟ

จะเสิร์ฟแบบเป็นกับข้าวก็เพิ่มปริมาณตามสูตรลงไปเป็น 2 เท่า หรือจะตักราดข้าวสวยร้อน ๆ ก็พร้อมเสิร์ฟ จะเคียงไข่ต้มตานี หรือไข่เป็ดดาวแบบเยิ้ม ๆ หน่อยก็ตามความชอบ

คั่วพริกเกลือ

16. คั่วพริกเกลือ

สำหรับสายแซ่บ ที่เน้นสั่งหรือทำอาหารรสชาติเผ็ดจัดชัดเจนแบบไทย เวลาไปร้านอาหารตามสั่ง หรืออยากทำอะไรที่จานด่วน จานเดี่ยว รับประทานแบบกินง่าย ๆ และรวดเร็ว แต่เบื่อแล้วกับเมนูผัดกะเพรา วันนี้มีอีกหนึ่งทางเลือกมาฝาก กับเมนูนี้ก็คือคั่วพริกเกลือ ซึ่งสามารถประยุกต์ให้เข้าได้กับเนื้อสัตว์ทุกชนิดที่มีในบ้าน หรือวัตถุดิบในร้าน เพียงแค่ทำตามวิธีการ และเตรียมวัตถุดิบตามขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้

วัตถุดิบ
  • เนื้อสัตว์ตามชอบ 300 กรัม
  • กระเทียมสับ 6 กลีบ
  • พริกขี้หนูสับหยาบ 15 เม็ด
  • รากผักชีสับ 5 ราก
  • เกลือ 1 ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
  • ผักชีซอย 1 ต้น
  • หอมซอย 1 ต้น
  • พริกไทยป่นเล็กน้อย 1/4 ช้อนชา
  • น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
  1. นำเนื้อสัตว์ลงผัดในกระทะ กับน้ำมันพืชให้ด้วยพอสุกเหลืองน่ารับประทาน แล้วตักพักไว้
  2. ตั้งกระทะอีกครั้งด้วยไฟกลาง นำเครื่อง พริกสับ กระเทียม รากผักชีลงคั่วจนกลิ่นหอม
  3. นำเนื้อสัตว์ใส่กลับลงไปคั่วพร้อมเครื่องจนเข้ากัน ปรุงรสด้วย เกลือ น้ำตาลทราย และพริกไทย คลุกให้ทั่วแล้วปิดไฟ
  4. ใส่ต้นหอมซอย จากนั้นตักลงจานแล้วโรยผักชีก่อนออกเสิร์ฟ

ทั้งวัตถุดิบและวิธีการที่ช่างแสนง่าย แถมยังได้ความอร่อยแซ่บแบบเหนือชั้น ด้วยความหอมจากกลิ่นเครื่องเทศของไทยไปอีก งานนี้เชื่อว่าเมนูคั่วพริกเกลือ จะต้องเป็นอาหารตามสั่ง ที่ครองใจผู้คนได้ไม่ยากแน่นอน ขอให้เตรียมหุงข้าวสวยร้อนๆ รอไว้แค่นั้นก็พอ

รูปภาพ

อาหารตามสั่ง แจก 16 เมนูอาหารจานเดียว เมนูสร้างอาชีพ
อาหารตามสั่ง แจก 16 เมนูอาหารจานเดียว เมนูสร้างอาชีพ
อาหารตามสั่ง แจก 16 เมนูอาหารจานเดียว เมนูสร้างอาชีพ
อาหารตามสั่ง แจก 16 เมนูอาหารจานเดียว เมนูสร้างอาชีพ
อาหารตามสั่ง แจก 16 เมนูอาหารจานเดียว เมนูสร้างอาชีพ
อาหารตามสั่ง แจก 16 เมนูอาหารจานเดียว เมนูสร้างอาชีพ
อาหารตามสั่ง แจก 16 เมนูอาหารจานเดียว เมนูสร้างอาชีพ
อาหารตามสั่ง แจก 16 เมนูอาหารจานเดียว เมนูสร้างอาชีพ
อาหารตามสั่ง แจก 16 เมนูอาหารจานเดียว เมนูสร้างอาชีพ
อาหารตามสั่ง แจก 16 เมนูอาหารจานเดียว เมนูสร้างอาชีพ
อาหารตามสั่ง แจก 16 เมนูอาหารจานเดียว เมนูสร้างอาชีพ
อาหารตามสั่ง แจก 16 เมนูอาหารจานเดียว เมนูสร้างอาชีพ
อาหารตามสั่ง แจก 16 เมนูอาหารจานเดียว เมนูสร้างอาชีพ
อาหารตามสั่ง แจก 16 เมนูอาหารจานเดียว เมนูสร้างอาชีพ
อาหารตามสั่ง แจก 16 เมนูอาหารจานเดียว เมนูสร้างอาชีพ
อาหารตามสั่ง แจก 16 เมนูอาหารจานเดียว เมนูสร้างอาชีพ
107,033 คน

taokaecafe.com มีการใช้คุกกี้ อ่านเพิ่มเติม