EMILY’S หมี่ไก่ฉีก: สูตรสำเร็จธุรกิจ สู่ยอดขาย 1 ล้านกล่องต่อเดือน

ในยุคที่ผู้บริโภคต้องการความสะดวก รวดเร็ว และรสชาติที่โดนใจในราคาที่จับต้องได้ แบรนด์ EMILY’S หมี่ไก่ฉีก ได้กลายเป็นหนึ่งในตัวอย่างของธุรกิจอาหารที่ประสบความสำเร็จแบบก้าวกระโดด ด้วยโมเดลที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง—เมนูหมี่ไก่ฉีก ขายได้ทั่วประเทศ และกำลังมุ่งหน้าสู่ตลาดต่างประเทศ
✨จุดเริ่มต้นของแบรนด์: แรงบันดาลใจจากครัวบ้าน
แนวคิดของ EMILY’S เริ่มจากความชอบส่วนตัวในการกินเส้นหมี่ขาวคลุกกับเนื้อไก่ฉีกและน้ำพริกแบบโฮมเมด โดยเฉพาะ "น้ำพริกหมูกระจก" ที่เป็นจุดขายสำคัญ เพราะให้รสเผ็ดนัวและกรุบกรอบ ช่วยเติมเต็มรสสัมผัสของเมนูที่ดูธรรมดาให้โดดเด่นขึ้นอย่างชัดเจน
สิ่งที่น่าสนใจ คือ ทั้งร้านมีเพียงแค่เมนูเดียวเท่านั้น — หมี่ไก่ฉีก กล่องละ 125 บาท ไม่มีทางเลือก ไม่มีการปรับสูตร ไม่มีการลดคุณภาพ แม้จะถูกตั้งคำถามเรื่องราคาว่า "แพงเกินไปหรือไม่" แต่เจ้าของแบรนด์ยืนยันหนักแน่นว่า “ถ้าจะขาย ก็ต้องทำแบบที่คุณแม่เคยทำให้กินเท่านั้น”
แบรนด์ EMILY’S ไม่ได้เริ่มจากการมีเงินทุนก้อนใหญ่ หรือแผนการตลาดซับซ้อน ทุกอย่างเริ่มจากการ “บอกต่อ” และใช้พลังของ TikTok เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวและความอร่อยให้ผู้คนรับรู้ ซึ่งได้ผลลัพธ์ที่เกินคาด ในช่วงแรกเริ่มขายได้เพียงหลักร้อยกล่องต่อวัน จนถึงวันที่ตัดสินใจเปิดบูธ Pop-up และพบว่า มีลูกค้าต่อแถวรอซื้อกันยาวเหยียดเกินกว่าที่เตรียมไว้ จุดนั้นเองคือจุดหักเหของแบรนด์ และทำให้ EMILY’S เริ่มไต่ระดับยอดขายขึ้นหลักพันกล่องต่อวันอย่างรวดเร็ว
🛵แพลตฟอร์มเดลิเวอรี: ตัวเร่งการเติบโต
การเข้าสู่แพลตฟอร์มเดลิเวอรีเป็นอีกก้าวสำคัญ โดยมีข้อมูลที่น่าทึ่งจากทีมแพลตฟอร์มว่า มีลูกค้ากดสั่ง EMILY’S ทุกๆ 1 วินาทีถึง 40 ราย ความต้องการที่พุ่งสูงนี้ทำให้ต้องปิดระบบในเวลาไม่ถึง 2 นาทีหลังเปิดขาย
🎉ยอดขายพีคที่สุดอยู่ที่ 10,000 กล่อง/วัน และปัจจุบันยอดขายเฉลี่ยยังคงอยู่ที่ 8,000–9,000 กล่องต่อวัน อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งสำหรับธุรกิจที่มีสินค้าเพียงรายการเดียว และใช้โมเดล “เน้นคุณภาพ ไม่ลดต้นทุน”
เจ้าของแบรนด์ยังคงให้ความสำคัญกับ การพบลูกค้าโดยตรง ผ่านบูธ Pop-up ตามศูนย์การค้า แม้จะมีช่องทางเดลิเวอรีอยู่แล้วถึง 6 จุดกระจายทั่วกรุงเทพฯ การออกบูธเองทำให้ได้ฟังเสียงลูกค้าโดยตรง และปรับปรุงรายละเอียดต่างๆ อย่างใกล้ชิด ซึ่งช่วยรักษาคุณภาพแบรนด์ในระยะยาว
ปี 2025 EMILY’S ตั้งเป้าเปิดตลาดต่างประเทศ โดยเริ่มที่ สิงคโปร์ ในรูปแบบ Pop-up Store เพื่อศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคต่างชาติ และดูว่าต้องปรับสูตรหรือแนวทางบริการอย่างไร จุดประสงค์ไม่ใช่แค่ขยายตลาด แต่ต้องการ “เข้าใจและปรับตัว” กับบริบทใหม่ๆ ก่อนเข้าสู่การลงทุนในระดับ Global Brand
✍️โมเดลธุรกิจ: ต้นทุนต่ำ, ความเรียบง่าย, แต่ยึดคุณภาพ
สิ่งที่ทำให้ EMILY’S แตกต่างจากแบรนด์อื่นคือการ "โฟกัสเพียงเมนูเดียว" ซึ่งทำให้ ต้นทุนในการบริหารจัดการ (Operation Cost) ต่ำลงอย่างชัดเจน ไม่ต้องจัดการสต๊อกหลายรายการ ไม่ต้องฝึกพนักงานหลายสูตร ทุกอย่างเป็นสูตรเดียวและการทำซ้ำได้ง่าย ทำให้ธุรกิจขยายสาขาได้รวดเร็ว
ในขณะเดียวกัน ความซื่อสัตย์ต่อสูตรดั้งเดิม และความสม่ำเสมอในการผลิต คือเหตุผลหลักที่ทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ และสร้างความภักดี (Brand Loyalty) อย่างเหนียวแน่น
หลังจากอยู่กับเดลิเวอรีมานาน ตอนนี้แบรนด์เตรียมเปิดตัวร้านนั่งทานรูปแบบ All Day Dining ในชื่อ EMILY’S HOUSE ซึ่งจะตั้งอยู่ใจกลางทองหล่อ ร้านนี้จะไม่ใช่แค่ขายหมี่ไก่ฉีก แต่จะเป็นการ “เล่าเรื่องของแบรนด์” ผ่านบรรยากาศ การตกแต่ง และประสบการณ์การรับประทานที่ครบถ้วน
แม้จะมีนักลงทุนเข้ามาพูดคุยตลอดเวลา แต่เจ้าของแบรนด์ยังยืนยันแนวคิดเดิมว่า “ลูกค้าสำคัญที่สุด” เพราะสิ่งที่ทำให้แบรนด์อยู่ได้มาถึงทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะโฆษณาแพงๆ หรือเงินทุนก้อนโต แต่เป็นเพราะลูกค้าบอกต่อ และกลับมาซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง
สรุป: กรณีศึกษาของแบรนด์ที่ใช้ "น้อยแต่มาก" ได้สำเร็จ
EMILY’S หมี่ไก่ฉีก เป็นตัวอย่างของแบรนด์ที่เลือกทางเดินเฉพาะตัว ไม่หว่านตลาด ไม่หลากหลายเมนู แต่กลับสามารถสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ยั่งยืน และมีกำไร ด้วยกลยุทธ์ที่เน้นคุณภาพ ความจริงใจ และการเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง หากคุณกำลังมองหาโมเดลธุรกิจที่ ต้นทุนต่ำ-กำไรดี-สร้างแบรนด์ได้ไว กรณีของ EMILY’S คือบทเรียนธุรกิจที่ควรศึกษาอย่างยิ่ง